เมนู

อำนาจความพอใจในรูป เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ความกำหนัดด้วยอำนาจ
ความพอใจในเวทนา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ความกำหนัดด้วยอำนาจ
ความพอใจในสัญญา เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ความกำหนัดด้วยอำนาจ
ความพอใจสังขาร เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ความกำหนัดด้วยอำนาจ
ความพอใจในวิญญาณ เป็นอุปกิเลสแห่งจิต. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อใดแล ภิกษุละอุปกิเลสแห่งจิตในฐานะ 6 นี้ได้ เมื่อนั้นแล จิตของเธอ
ย่อมเป็นอันน้อมไปในเนกขัมมะ จิตอันเนกขัมมะอบรมแล้ว ย่อม
ปรากฏว่าควรแก่การงาน ในธรรมที่พึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา.
จบ ขันธสูตรที่ 10
จบ กิเลสสังยุต


อรรถกถากิเลสสังยุต



พึงทราบวินิจฉัยในกิเลสสังยุต ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า จิตฺตสฺเสโส อุปกฺกิเลโส ความว่า (เป็นอุปกิเลส)
ของจิตดวงไหน ?
(เป็นอุปกิเลส) ของจิตที่เป็นไปในภูมิ 4.
ถามว่า (ฉันทราคะเป็นอุปกิเลส) ของจิตที่เป็นไปในภูมิ 3
นับว่าถูกต้อง (แต่) (เป็นอุปกิเลส) ของโลกุตตรจิตได้อย่างไร ?
ตอบว่า เป็นได้เพราะห้ามการเกิดขึ้น (แห่งโลกุตตรจิต)
อธิบายว่า ฉันทราคะนั้น พึงทราบว่าเป็นอุปกิเลส เพราะไม่ให้
โลกุตตรจิตนั้นเกิดขึ้น.

บทว่า เนกฺขมฺมนินฺนํ ได้แก่ (จิต) ที่น้อมไปในโลกุตตรธรรม 9.
บทว่า จิตฺตํ ได้แก่ จิตที่เจริญสมถะ และจิตที่เจริญวิปัสสนา
บทว่า อภิญฺญา สจฺฉิกรณีเยสุ ธมฺเมสุ ความว่า หรือเมื่อบุคคล
จะยึดถือธรรมอย่างหนึ่ง ในบรรดาธรรมคืออภิญญา ข้อที่ 6 ที่พึงรู้
แล้วทำให้แจ้งด้วยปัจจเวกขณญาณ ก็พึงยึดถือว่า เนกขัมมะ ก็คือ
พระนิพพานนั่นเอง.
บทที่เหลือในสูตรทั้งหมด มีความหมายง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถากิเลสสังยุต

รวมพระสูตรที่มีในสังยุตนี้ คือ


1. จักขุสูตร 2. รูปสูตร 3. วิญญาณสูตร 4. ผัสสสูตร
5. เวทนาสูตร 6. สัญญาสูตร 7. เจตนาสูตร 8. ตัณหาสูตร 9. ธาตุสูตร
10. ขันธสูตร